EUออกมาตรการใหม่ ในการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการ
EU ออกมาตรการใหม่ในการจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการ ซึ่งมาตรการ ดังกล่าวนั้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และข้อกำหนดที่เกี่ยวกับสถานที่ให้บริการเพื่อให้สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจประเภทการบริการได้ โดยให้ประเทศสมาชิกที่ได้รับการบริการเป็นผู้จัดเก็บ ในขณะเดียวกันมาตรการนี้ยังเสนอให้ผู้เสียภาษีซึ่งก็คือผู้ให้บริการนั่นเองสามารถยื่นรายการภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นใน EU ทั้งหมดให้กับสรรพากรของประเทศสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงแห่งเดียวเรียกว่า "mini one-stop shop" เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายของผู้เสียภาษี
มาตรการภาษีมูลค่าเพิ่มฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 โดยมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญ ดังนี้
• สำหรับการให้บริการระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันเอง ภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกจัดเก็บในประเทศที่สถานประกอบการของผู้รับบริการตั้งอยู่และยกเลิกการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศ ที่สถานประกอบการของผู้ให้บริการตั้งอยู่ซึ่ง เป็นหลักเกณฑ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
• สำหรับการให้บริการแก่บุคคลทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วภาษีมูลค่าเพิ่มจะยังคงถูกเก็บในประเทศที่สถานประกอบการของผู้ให้บริการตั้งอยู่เช่นที่ปฏิบัติกันในปัจจุบัน
• อย่างไรก็ตาม การให้บริการบางประเภทแก่บุคคลทั่วไปอาจถูกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศผู้รับบริการนั้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการบิดเบือนในด้านการแข่งขันระหว่างประเทศสมาชิกซึ่งมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราที่ แตกต่างกัน การให้บริการที่เข้าหลักเกณฑ์ ดังกล่าว เช่น ภัตตาคาร การเช่ายานพาหนะเพื่อการขนส่ง การวัฒนธรรม การกีฬา การศึกษาและวิทยาศาสตร์ และการสื่อสาร การแพร่ภาพและการบริการทางอิเล็กทรอนิกส์
• นำระบบ "one-stop shop" มาใช้สำหรับการให้บริการด้านการสื่อสาร การแพร่ภาพ และการบริการอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการโดยกำหนด ให้ผู้ประกอบการสามารถจดทะเบียนการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ยื่นรายการและชำระภาษีได้ในประเทศที่ตนจดทะเบียนจัดตั้งสถานประกอบการเพียงประเทศเดียว ดังนั้น แม้ผู้ประกอบการให้บริการในประเทศสมาชิกอื่นๆ ก็ตาม ผู้ประกอบการจะต้องนำรายการภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว มายื่นรายการเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศ ที่ตนจดทะเบียนนั่นเอง ซึ่งสรรพากรประเทศนั้นๆ จะต้องนำส่งรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ให้กับประเทศสมาชิกผู้รับการบริการ ทั้งนี้ อัตราภาษีและข้อบังคับต่างๆ ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายของประเทศสมาชิกผู้รับบริการ
• สำหรับการให้บริการแก่บุคคลทั่วไปในส่วนของการจัดหาบริการด้านการสื่อสาร การแพร่ภาพ และการบริการอิเล็กทรอนิกส์ ข้อบังคับใหม่และระบบ "one-stop" จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2558 ประเทศสมาชิกที่สถานประกอบการตั้งอยู่จะต้องทำการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มโดยใช้ระบบ "one-stop shop" และเก็บไว้ส่วนหนึ่งคิดเป็นร้อยละ 30 ของจำนวนภาษีที่จัดเก็บได้ ส่วนที่เหลือจะต้องนำส่งให้กับประเทศสมาชิกผู้รับบริการ สัดส่วนร้อยละ 30 นี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 ถึง 31 ธันวาคม 2559 จากนั้นจะลดลงเหลือร้อยละ 15 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2560 ถึง 31 ธันวาคม 2561 และลดลงเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป