ผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ หากมีมูลค่าของฐานภาษีเกิดขึ้นในปีหนึ่งเกินกว่ามูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม คือมีมูลค่าของฐานภาษีเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปีขึ้นไป ผู้ประกอบการจะต้องเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราทั่วไปหรือ ในอัตราร้อยละ 0 แล้วแต่กรณี และคำนวณภาษีโดยใช้ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ แต่ประมวลรัษฎากรได้บัญญัติยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับกิจการบางประเภทไว้ด้วย2 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน สินค้าบางชนิดเป็นสิ่งจำเป็นต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ เช่น สินค้าทางการเกษตร หรือบริการบางอย่างมีลักษณะเป็นสวัสดิการทางสังคมด้วย เช่น การให้บริการการศึกษา การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาล เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นทางสังคมและบรรเทาภาระของประชาชน จึงมีกฎหมายยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับกิจการบางประเภทไว้ด้วย อย่างไรก็ดี มีผู้ประกอบการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มบางประเภท ซึ่งไม่มีหน้าที่ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หากแต่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการก็สามารถเลือกเข้ามาจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็น "ผู้ประกอบการจดทะเบียน" ได้ โดยจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและคำนวณภาษีโดยวิธีขายหักด้วยภาษีซื้อ3 ถือเป็นการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มของกิจการที่ได้รับยกเว้น ซึ่งจะมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ ตามกรอบการนำเสนอซึ่งประกอบด้วย
1. สาระสำคัญเบื้องต้น 1.1 กิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและมีสิทธิเข้าสู่ระบบ 1.2 กิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่มีสิทธิเข้าสู่ระบบ 1.3 การออกจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม 2. แนววินิจฉัยของกรมสรรพากร
1.สาระสำคัญเบื้องต้น 1.1 กิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและมีสิทธิเข้าสู่ระบบ ตามประเภทกิจการ ที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย 3 ประเภทได้แก่ (1) ผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการขายสินค้าตามที่ระบุไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 81(1)(ก) ถึง (ฉ) ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (2) ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ โดยกิจการนั้นเป็นกิจการขนาดย่อมตามประมวลรัษฎากร มาตรา 81/1 และ (3) ผู้ประกอบกิจการที่ประกอบกิจการอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา (1) ผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการขายสินค้าตามที่ระบุไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 81(1)(ก) ถึง (ฉ) ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อผู้ประกอบการซึ่งประกอบกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มขอเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการดังกล่าวจะเลิกเสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้ต่อเมื่อได้ใช้สิทธิขอถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 85/10(3) และอธิบดีได้สั่งถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วตามประมวลรัษฎากรมาตรา 81/3 วรรคสอง ประเด็นที่น่าสนใจมีว่า การขอเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ขอเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามมาตรา 81/3 แห่งประมวลรัษฎากร หากประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างเดียวคงจะไม่มีปัญหาในการขอเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมายอยู่แล้ว แต่ถ้าหากประกอบกิจการทั้งประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มได้ กับประเภทที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในขณะที่ไปขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ผู้ประกอบการไม่เจตนาที่จะนำเอากิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ในขณะที่ไปจดทะเบียนได้แจ้งถึงประเภทของกิจการของตนรวมกันไปทั้งหมด ไม่แบ่งแยกให้ชัดเจน จึงทำให้เห็นว่าการจดทะเบียนดังกล่าวได้นำเอากิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ได้นำเอายอดขายที่ได้รับยกเว้นภาษีไปรวมคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ยังคงเจตนาที่จะยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ กรณีดังกล่าวการนำเอากิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ขอเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องมีการแจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรและจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันแจ้ง เมื่อได้ทำตามขั้นตอนดังกล่าวแล้วจึงจะมีผลตามกฎหมาย แต่การที่ผู้ประกอบการได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยนำเอากิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแต่มีสิทธิจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้โดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมาย และไม่มีเจตนาจดทะเบียนสำหรับกิจการดังกล่าว ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องขอถอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนดังกล่าวต่อไป ดังนั้น ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการจะต้องแยกกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้ชัดแจ้ง (ไม่ควรเอากิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มมายื่นแจ้งในขณะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในแบบ ภ.พ.01) (2) ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ โดยกิจการนั้นเป็นกิจการขนาดย่อมตามประมวลรัษฎากร มาตรา 81/1 หลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 81/1 ผู้ประกอบการซึ่งประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และกิจการดังกล่าวมีมูลค่าของ ฐานภาษีไม่เกินมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดจำนวนมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมให้แตกต่างกันในกิจการแต่ละประเภทไม่ได้ แต่จำนวนมูลค่าของฐานภาษีที่กำหนดจะต้องไม่น้อยกว่า 600,000 บาทต่อปี5 ในกรณีที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมไว้แล้วได้แก่ ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งกิจการของตนมีมูลค่าของฐานภาษีต่ำกว่ามูลค่าของฐานภาษี ของกิจการขนาดย่อมตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา หากผู้ประกอบการที่มีรายรับไม่เกิน 1,800,000 บาท ต่อปี แต่ได้ไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผลจะเป็นอย่างไร พิจารณาได้ตามตัวอย่างดังต่อไปนี้ ตัวอย่าง กรณีบริษัทฯ ประกอบกิจการที่มีรายรับไม่ถึง 600,000 บาทต่อปี บริษัทฯ จึง ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้นแต่จะแจ้งต่ออธิบดีเพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81/3 แห่งประมวลรัษฎากร และจากการตรวจสอบหลักฐานคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) ปรากฏว่าบริษัทฯ ระบุว่าประกอบกิจการรับจ้างเป็นที่ปรึกษาฝึกอบรมและส่งเสริมการขาย ยังไม่มีรายรับขอเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7.0 จึงเป็นกรณีที่ ผู้ประกอบการแจ้งต่ออธิบดีเพื่อขอจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81/3 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีนี้ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะขอถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ผู้ประกอบการจะต้องประกอบการเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี นับแต่วันที่เริ่มเป็น ผู้ประกอบการจดทะเบียน และต้องมีมูลค่าของฐานภาษีของกิจการต่ำกว่ามูลค่าของฐานภาษี ของกิจการขนาดย่อม ซึ่งมีรายรับไม่เกิน 600,000 บาทต่อปี ตลอดระยะเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ ตามมาตรา 85/10(3) แห่งประมวลรัษฎากร6 หมายเหตุ ปัจจุบันกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมไว้ว่าจะต้องไม่เกิน 1,800,000 บาทต่อปี ประเด็นปัญหาต่อไปมีว่า เป็น ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ต่อมากิจการของตนมีมูลค่าของฐานภาษีต่ำกว่ามูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ต้องปฏิบัติอย่างไร พิจารณาตามแนววินิจฉัยของ กรมสรรพากร7 ซึ่งวินิจฉัยไว้ว่า กรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะขอให้อธิบดี สั่งถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85/10(2) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนดังกล่าวจะต้องมีมูลค่าของฐานภาษีต่ำกว่ามูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสามปี ซึ่งปัจจุบันได้มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 432) พ.ศ. 2548 กำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากรจะต้องไม่เกินหนึ่งล้านแปดแสนบาทต่อปี และคำว่า "ปี" ในกรณีที่ ผู้ประกอบการเป็นนิติบุคคล ให้นับตามรอบระยะเวลาบัญชี เว้นแต่ในกรณีที่เริ่มประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เริ่มนับตั้งแต่วันเริ่มประกอบกิจการถึงวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี หรือในกรณีที่ผู้ประกอบการเป็นบุคคลธรรมดาให้นับตามปีประดิทิน เว้นแต่ในกรณีที่เริ่มประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เริ่มนับตั้งแต่วันเริ่มประกอบกิจการถึงวันสิ้นปีประดิทิน โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป เมื่อตามข้อเท็จจริงบริษัทหรือบุคคลธรรมดาได้ประกอบกิจการตั้งแต่ปี 2545 และ ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2546 และมูลค่าของฐานภาษีของปี 2546 ถึงปี 2548 มีรายได้ 1,500,000 บาท 1,000,000 บาทและ 1,200,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งต่อมามีพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 432) พ.ศ. 2548 กำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องไม่เกินหนึ่งล้านแปดแสนบาทต่อปี บริษัทหรือบุคคลธรรมดาดังกล่าวจึงมีมูลค่าของฐานภาษีต่ำกว่าหนึ่งล้านแปดแสนบาทเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสามปี เข้าตามหลักเกณฑ์ ที่จะขอให้อธิบดีสั่งถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามมาตรา 85/10(2) แห่งประมวลรัษฎากร
ที่มา http://www.sanpakornsarn.com