กรณีเงินได้จากทางราชการที่ไม่ได้รับยกเว้น
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีหลักการ จัดเก็บจากเงินได้ทุกประเภทซึ่งแบ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) ถึง มาตรา 40(8) ครอบคลุมเงินได้ทั้งที่ได้มาโดยน้ำพักน้ำแรง (Earned Income) และที่ได้มาโดยไม่ต้องใช้ น้ำพักน้ำแรง (Unearned Income) รวมตลอดถึงเงินได้ที่เกิดจากการลงทุนในทรัพย์สิน (Capital Gain) เว้นแต่จะมีบทบัญญัติยกเว้นหรือมีข้อจำกัดขอบเขตในการเสียภาษีไว้ โดยเฉพาะ2
สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษี (Exempt Income) นั้น ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ในมาตรา 42 และมาตรา 42(17) ยังได้บัญญัติให้เงินได้ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงได้รับยกเว้นภาษีด้วย ได้แก่ กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวล-รัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร นอกจากนี้ อาจได้รับยกเว้นโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา 3 ของประมวลรัษฎากร หรือได้รับยกเว้นโดยพระราชบัญญัติก็ได้ เงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีดังกล่าว อาจจัดแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการยกเว้นได้หลายกรณี อาทิ ยกเว้นเนื่องจากมีลักษณะเป็นรายจ่ายหรือค่าทดแทนหรือสวัสดิการ (ประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1)) หรือยกเว้นเพื่อส่งเสริมการศึกษา (ประมวลรัษฎากร มาตรา 42(7)) หรือยกเว้นเนื่องจากเป็นมรดก (ประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9) (10)) เป็นต้น
โดยที่มาตรา 42(7) แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้เบี้ยประชุมกรรมาธิการ หรือกรรมการ หรือค่าสอน หรือค่าสอบที่ทางราชการ หรือสถานศึกษาของทางราชการจ่ายให้ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นั้น แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับพุทธศักราช 2540) ได้บัญญัติให้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน (ค.ต.ง.) โดยมีหน่วยงานธุรการของแต่ละองค์กร ซึ่งมีทั้งกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นส่วนราชการ และไม่เป็นส่วนราชการ นอกจากนี้สถาบันอุดมศึกษาของทางราชการในปัจจุบันไม่มีฐานะเป็นส่วนราชการ ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ แต่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายจัดตั้ง สถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง อีกทั้งยังมีองค์กรใหม่ๆ เกิดขึ้น อีกหลายองค์กร อาทิ องค์การมหาชน องค์กรในกำกับของรัฐ เป็นต้น กรณีจึงมีปัญหาว่า หากบุคคลธรรมดาได้รับเงินได้จากค่าเบี้ยประชุม กรรมาธิการ หรือกรรมการ หรือค่าสอน หรือค่าสอบที่หน่วยงานหรือองค์กรดังกล่าวจ่ายให้แล้ว จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42(7) แห่งประมวล-รัษฎากร หรือไม่ อย่างไร
หลักเกณฑ์พิจารณา
มาตรา 42(7) แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้เบี้ยประชุมกรรมาธิการ หรือกรรมการ หรือค่าสอน หรือค่าสอบ ที่ทางราชการหรือสถานศึกษาของทางราชการจ่ายให้ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ "การยกเว้นตามมาตรานี้ ต้องเป็นเงินได้ที่จ่ายโดยทางราชการ ซึ่งหมายถึง หน่วยงานของรัฐที่เป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือเป็นสถานศึกษาของทางราชการ ซึ่งได้แก่ มหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน ฯลฯ ที่เป็นของทางราชการ3 แต่ถ้าเป็นเบี้ยประชุม ค่าสอน ค่าสอบที่ภาคเอกชนหรือหน่วยงานที่ไม่มีฐานะเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหาร ราชการแผ่นดิน เป็นผู้จ่าย จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้" หลักเกณฑ์พิจารณาจึงแบ่งออกเป็น 2 กรณีได้แก่ กรณีเบี้ยประชุม และกรณีค่าสอน ค่าสอบที่ทางราชการจ่ายให้
กรณีเบี้ยประชุม
เบี้ยประชุมคือเงินตอบแทนสำหรับการเข้าประชุมในฐานะกรรมการหรือตำแหน่งอื่นๆ ซึ่งจะจ่ายเป็นครั้งคราวตามที่มีการประชุม กรณีค่าตอบแทนหรือค่าเบี้ยประชุม ที่กรรมการได้รับประจำเป็นรายเดือน ถือเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร
4 ผู้จ่ายเงินได้ มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร
ค่าเบี้ยประชุมที่รัฐวิสาหกิจจ่ายให้แก่คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร5
ค่าเบี้ยประชุมซึ่งจ่ายเป็นรายครั้งที่มีการประชุมและเข้าประชุม จะถือเป็นเบี้ยประชุมกรรมการที่ทางราชการจ่ายให้ซึ่งได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 42(7) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่ ในเบื้องต้นจึงต้องพิจารณาว่า ผู้จ่ายมีฐานะเป็นส่วนราชการหรือไม่ แล้วจึงค่อยพิจารณาว่าเข้าลักษณะเป็นค่าเบี้ยประชุมหรือค่าสอน ตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้หรือไม่ โดยขอให้ศึกษากรณีศึกษาดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง
(1) เรื่อง กรณีจ่ายเงินสมนาคุณคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
ประเด็นปัญหา6 : คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติได้อนุมัติให้จ่ายเงินสมนาคุณให้แก่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นรายเดือน แทนการจ่ายเบี้ยประชุมตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2533 การจ่ายเงินสมนาคุณ ให้จ่ายเฉพาะเดือนที่เข้าประชุม เดือนใดที่ไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่เข้าประชุมให้งดจ่ายโดยให้ประธานกรรมการได้รับเงินเดือนละ 10,000 บาท และกรรมการได้รับเงินเดือนละ 8,000 บาท จึงหารือว่าในการเบิกจ่ายเงินค่าสมนาคุณกรรมการแทนการจ่ายค่าเบี้ยประชุมกรรมการผู้มีเงินได้ดังกล่าวยังมีสิทธิได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(7) แห่งประมวลรัษฎากร หรือจะต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ และสำนักงาน ก.พ. จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายด้วยหรือไม่
http://www.sanpakornsarn.com